พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค [1. สฬายตนสังยุต]
2. ทุติยปัณณาสก์ 2. มิคชาลวรรค 8. อุปวาณสันทิฏฐิกสูตร
ท่านพระอุปเสนะกล่าวว่า ท่านสารีบุตร ผู้ใดพึงมีความคิดว่า เราเป็นจักขุ
หรือ จักขุเป็นของเรา ฯลฯ เราเป็นชิวหา หรือ ชิวหาเป็นของเรา ฯลฯ
เราเป็นมโน หรือ มโนเป็นของเรา ท่านสารีบุตร ความที่กายของผู้นั้นเป็นอย่าง
อื่นหรือความที่อินทรีย์ของผู้นั้นแปรผันพึงมีอย่างแน่นอน กระผมไม่มีความนึกคิด
เลยว่า เราเป็นจักขุ หรือ จักขุเป็นของเรา ฯลฯ เราเป็นชิวหา หรือ ชิวหา
เป็นของเรา ... เราเป็นมโน หรือ มโนเป็นของเรา ท่านสารีบุตร ความที่กาย
ของกระผมเป็นอย่างอื่นหรือความที่อินทรีย์ของกระผมแปรผัน จักมีได้อย่างไร
จริงอย่างนั้น ท่านพระอุปเสนะได้ถอนอหังการ1 มมังการ2 และมานานุสัย (กิเลส
ที่นอนเนื่องคือความถือตัว) ได้เด็ดขาดนานมาแล้ว ฉะนั้นท่านพระอุปเสนะจึงไม่มี
ความคิดว่า เราเป็นจักขุ หรือ จักขุเป็นของเรา ฯลฯ เราเป็นชิวหา หรือ
ชิวหาเป็นของเรา ฯลฯ เราเป็นมโน หรือ มโนเป็นของเรา
ต่อมา ภิกษุเหล่านั้นได้ยกกายของท่านพระอุปเสนะขึ้นเตียงแล้วหามออกไปข้าง
นอก ขณะนั้น กายของท่านพระอุปเสนะก็เรี่ยรายในที่นั้นเองเหมือนกำแกลบ
อุปเสนอาสีวิสสูตรที่ 7 จบ
8. อุปวาณสันทิฏฐิกสูตร
ว่าด้วยพระอุปวาณะทูลถามธรรมที่พึงเห็นเอง
[70] ครั้งนั้น ท่านพระอุปวาณะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ฯลฯ
นั่ง ณ ที่สมควร ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์
ตรัสว่า ธรรมเป็นธรรมที่ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง ธรรมเป็นธรรมที่ผู้
ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ พระธรรมจึงชื่อว่าเป็น
ธรรมที่ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง ไม่ประกอบด้วยกาล3 ควรเรียกให้มาดู
ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน